วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขาวกับดำ (ดีมากๆครับ)


หลายปีก่อน ผมเคยได้ยินนิทานเรื่องนี้
เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง
เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา
เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว
เศรษฐีบอกชาวนาว่า ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง
'แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า ข้าจะเยิกหนี้สินทั้งหมดให้'

ชาวนาไม่ตกลง

เศรษฐีบอกว่า 'ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวน ใส่ในถุงผ้านี้
ก่อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้
หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า
แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกบัข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย'

ชาวนาตกลง

เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ เธอจะทำอย่างไร?

หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็จะต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอก็ต้องเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน

-------------------------------------------------------------
เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป ในทางตรงกันข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหามีมากกว่าหนึ่งทางเสมอ

การยืดหยุ่นและพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง
บางครั้งในการแก้ปัญหา เราอาจต้องสร้างเครื่องมือในการแก้ปัญหาขึ้นมาใหม่
ในยุคของ มิคาอิล กอร์บาชอฟ เขากล่าวว่า
เป็นเรื่องเขลาที่คิดว่า ปัญหาที่รุมเร้ามนุษย์ในวันนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือที่เคยใช้ได้ผลในอดีต

หากเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ บางทีวันนี้สังคมนิยมโซเวียตยังไม่เปิดประเทศ
และสันติภาพระหว่างฝ่ายขาว-ฝ่ายแดงคงล้าหลังไปอีกหลายปี

โลกไม่มีสีขาวกับดำ

-------------------------------------------------------------

ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน
พลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้นกลืนหายไปในสีขาวและดำของสวนกรวด
เธอมองหน้าเศรษฐีเอ่ยว่า 'ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละก้อนลงไปในถุงนี้ ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร'

ที่ก้อนถุงเป็นกรวดสีดำ
'...ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว'
ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้ และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น

ชีวิตสาว AV ( Adult Vdo)


ชีวิตสาวเอวี (Adult Video) ที่ญี่ปุ่น (ยาวหน่อย น่าสนใจดี
เลยก๊อปมาให้อ่านกัน)

เรื่องมันมีอยู่ว่าผมกับรุ่นพี่คนอื่นๆไปแม่ฮ่องสอน
เพื่อไปเที่ยวบ้านรุ่นพี่คนหนึ่งที่สายรหัสตรงกับผมซึ่งจบไปได้6-7
ปีแล้ว
พี่ผมคนนี้ทำงานป่าไม้ โดยมีหน้าที่เป็นไกด์ไปในตัว
เราออกจากเชียงใหม่ตอน9โมงเช้า
ไปถึงที่นู้นก็บ่ายๆกว่าเพราะแวะซื้อของไปเรื่อยๆ
พวกเราไปหยุดอยู่ที่หน้าบ้านแล้วแกล้งบีบแตรดัง
พี่ต๊อก(ชื่อสมมุติ)แกก็ลงมาเปิดประตู หน้าตาเหมือนเพิ่งตื่น
พอพี่ต๊อกเห็นว่าเป็นพวกเรา แกก็อายม้วน บอกว่ามากันได้อย่างไร
จริงๆวันนั้นเป็นวันเกิดพี่ต๊อกแล้วเราก็ไปกินเหล้าตามคำชวนเขาพี่เขา
(ไปเสียไกลเลย) เราร่วมกันhappy birthdayให้พี่เขา

ตอนที่กำลังยกของลงจากรถ แฟนพี่ต๊อกก็มาช่วย
เราได้แต่ตะลึงในความงามของแฟนพี่ต๊อก
หน้าเธอสวยยิ่งกว่าดาราบ้านเราอีก หุ่นก็สูงขาว เธอเป็นคนญี่ปุ่น
พูดไทยได้บ้าง
เราหันไปค้อนพี่ต๊อกที่มีของดีๆแบบนี้โดยไม่เคยบอกกัน
หลังเก็บของเสร็จเราก็พากันออกไปเที่ยวโดยมีพี่ต๊อกนำขบวน
สายตาของพวกเรานับ 10
คู่ลุกเป็นไฟทุกครั้งเวลาที่พี่ต๊อกเล่นกับแฟน
พวกเราเลยแอบค้อนพี่ต๊อก
ว่าสนใจแต่แฟนไม่เคยสนใจเลยน้องๆ เนี่ย
พี่ต๊อกแกก็ยิ้มๆไม่พูดอะไร
จนตกกลางคืน จริงๆผมไม่กินเหล้า
ผมกะมานั่งคุยนั่งเล่นกับพวกพี่ๆ เขาเฉยๆ
หัวข้อในวงเหล้าก็ไม่พ้นเรื่องแฟนพี่ต๊อกนั่นแหละ
เราชมว่าแฟนพี่เขาดีอย่างนั้น ดีอย่างงี้ ไม่เหมาะกับพี่ต๊อกเลย
จนดึกๆพี่แกนึกครึ้มยังไงไม่รู้ถามว่า "เอ็งเชื่อไหม
แฟนกูเคยแสดงหนังเอ็กซ์"
พวกเราหยุดเงียบ วงเหล้ากลายเป็นป่าช้าในทันใด
ตอนแรกเรานึกว่าพี่ต๊อกพูดเล่น
พี่ต๊อกแกหันไปมองที่ห้องนอนดูว่าแฟนแกหลับจริงๆหรือยัง
แล้วแกก็กลับมานั่งที่โต๊ะ มีกลุ่มพวกเราที่หน้าเสียไปแล้ว
พี่ต๊อกหน้าเครียด ดูไม่เหมือนอาการเมาเหล้าเลย

พี่ต๊อกเริ่มเล่าชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งให้ฟัง
แฟนพี่ต๊อกเป็นคนที่สวยจัดเป็นไอดอลคนหนึ่งตอนที่อยู่ญี่ปุ่น
แต่ไม่ดังเพราะมีคนอื่นๆที่ใช้เส้นสายในวงการ
(ขอใช้คำว่าเธอแทนแฟนพี่ต๊อกนะ)
เธอเป็นลูกสาวของนายอำเภอหญิงคนหนึ่งในเกียวโต มีคนมาจีบเธอมากมาย
งานแสดงโฆษณาก็มีเยอะ
เธอเข้าประกวดทุกงานที่มีจัด และส่วนใหญ่เธอก็จะชนะ

จุดหักเหของชีวิตเธอคือวันหนึ่ง มีงานถ่ายแบบที่สตูดิโอแห่งหนึ่ง
ทุกทีเธอจะมีแม่มาด้วยแต่ครั้งนี้แม่ติดธุระ
เธอจึงมากับเพื่อนคนอื่นๆ
เมื่อถ่ายแบบเสร็จ
ผู้กำกับก็ให้เธออยู่ก่อนแล้วทุกคนก็เหมือนพร้อมใจกันทิ้งเธอไว้ในห้องสตูดิโอคนเดียว
มีเสียงเคาะประตู เธอก็ไปเปิด มีกลุ่มชายยากูซ่านับ 10
คนยืนอยู่ที่หน้าประตู
หนึ่งในจำนวนนั้นมีลูกนักการเมืองคนดัง
ซึ่งเคยมาจีบเธอแต่เธอไม่สนอยู่ด้วย
พวกมันเข้ารุมทำร้ายเธอ
เธอเคยคิดแบบผู้หญิงคนอื่นๆ
คืออยากจะเก็บความบริสุทธิ์ไว้ตอนแต่งงาน
แต่แล้วเธอก็ต้องเสียมันไป

มีหลายคนเคยบอกว่าเวลาที่มีเซ็กซ์กัน
แม้จะไม่ได้รักแต่อารมณ์จะคล้อยตามไปอย่างมีความสุข
เธอบอกว่ามันเป็นคำโกหกทั้งเพ เธอไม่ได้มีความสุขเลย
มันยิ่งกว่าตกนรกด้วยซ้ำ
เวลาที่มีร่างชายแปลกหน้ามาทาบบนร่างกายเธอมันเหมือนมีมัจจุราชมาฆ่าเธอ
เธอคิดถึงแม่มาก เธอร้องไห้ไปจนน้ำตาไม่มีจะให้ไหลอีก
พวกชายพวกนั้นเสร็จกิจ ก็ทิ้งเธอนอนกองอยู่ตรงนั้นแหละ
เธอซมซานกับมาบ้าน
เธอเข้าสวมกอดกับแม่
โดยที่แม่เธอก็ร้องไห้ด้วยเพราะก่อนหน้าที่เธอจะกลับมามีวิดีโอส่งมา
เป็นภาพที่ลูกสาวของตนกำลังโดนข่มขืน
คิดดูเองนะว่าหัวใจแม่จะโดนขยี้หนักมากขนาดไหน
วันต่อมาก็มีรถจากยากูซ่ามารับเธอ แต่แม่เธอไม่ให้ไป
ตัวเธอเองก็ไม่อยากจะไป

ยากูซ่ายกหูโทรศัพท์โทรไปหาบุคคลคนหนึ่งซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร
แต่คนๆนี้มีความสำคัญต่อการเมืองญี่ปุ่นมาก
แม่ร้องไห้อีก แล้วหันมามองหน้าเธอแล้วสวมกอด
เธอรู้ได้ทันทีว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป
เธอก้าวขึ้นรถ มันเหมือนเธอจะต้องก้าวไปยังแดนประหาร
เธอถูกส่งเวียนไปหานักการเมืองหลายคน
ก่อนที่ยากูซ่าจะส่งเธอไปถ่ายหนังเอวี

แรกๆหนังพวกนี้จะเซ็นเซอร์ช่วงล่างให้เธอ เวลาก่อนถ่ายทุกครั้ง
พวกยากูซ่าจะบังคับให้เธอเสพยา
บางครั้งก็จะลืมความเจ็บปวดได้ชั่วขณะหนึ่ง
แต่พอถึงเวลาทำแบบนั้นจริงๆ
เธอกับเจ็บปวด ถึงกับร้องออกมา
(เพิ่งรู้ว่าที่เสียงๆดังนั่นไม่ใช่การแสดง)
แม้บางทีเธอจะมีอารมณ์ร่วมแต่ความรู้สึกเธอก็ไม่ต่างจากขยะอะไรเลย
วันหนึ่งเธอจะเห็นผู้ร่วมชะตากรรมซึ่งเป็นผู้หญิงนับหมื่นคนใน 1
ห้องสตูดิโอ

ผู้หญิงเหล่านั้นเวลาไปโรงเรียนก็มักจะเจอสายตาจากเพื่อนผู้หญิงด้วยกันว่าแรด ร่านบ้างล่ะ
เพื่อนผู้ชายก็ชวนเธอขึ้นเตียงอย่างเดียว
เธอรู้สึกได้เลยว่าชีวิตคนเรามันไม่ได้เหมือนการ์ตูนที่เคยอ่านเลย
หลายครั้งที่เธอคิดจะฆ่าตัวตาย
จริงๆก็มีเพื่อนดาราเอวีของเธอคนหนึ่งฆ่าตัวตาย
ข่าวออกได้วันเดียว
หลังจากนั้นก็ข่าวโดนปิด

เธอสงสารแต่แม่
แม้เงินที่ยากูซ่าให้มาจะใช้ทั้งชีวิตก็ไม่หมดแต่เธอก็อยากจะเลิกเธอเคยหนีไป
อยู่........(อะไรสักที่นี่แหละในญี่ปุ่นผมจำชื่อไม่ได้)
แต่ยากูซ่าก็ยังตามไปเอาเธอกลับมาแสดงหนังลามกอีกจนได้
ความนิยมของเธอมากขึ้นจนติดหนังเอวีท๊อป 1
ของญี่ปุ่นไปหลายเดือนมาก
เธอไม่รู้ว่าจะภูมิใจกับมันดีหรือขยะแขยงกับมันดี
จนในที่สุดเธอก็หมดความนิยม
แต่ยากูซ่าก็ยังอุตสาห์เอาเธอไปศัลยกรรม
และส่งเธอไปขายตัวที่ต่างประเทศเกือบปี
นับจากวันที่เลวร้ายที่สุดของเธอ 6 ปี แต่เธอเหมือนทุกวันคืออเวจีดีๆนี่เอง

ยากูซ่ายกเลิกสัญญาถ่ายหนังกับเธอทั้งหมด
เพราะมีนางแบบหน้าใหม่มาแทนเธออีกเพียบ จากเมื่อก่อนมีแค่หมื่นคน
เธอคิดว่าปัจจุบันจะเพิ่มเป็นแสนคน
เธอทิ้งเงินครึ่งหนึ่งไว้ที่แม่
อีกครึ่งหนึ่งเธอทิ้งญี่ปุ่นแล้วมาเที่ยวเมืองไทย
เธอเดินทางไปเที่ยวเหนือ และก็มาเจอกับพี่ต๊อก
พี่ต๊อกกำลังจบใหม่ได้ 2-3 ปี

จบออกมาก็มีคุณอาชวนมาทำงานที่แม่ฮ่องสอน
และระหว่างที่เป็นไกด์ก็ได้เจอกัน
พี่ต๊อกประทับใจเธอตรงที่เป็นคนต่างชาติที่สวยและพูดฟังภาษาไทยได้ชัดเจนมาก
(คุณพ่อเธอเป็นคนไทย)
ตอนแรกพี่ต๊อกไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยก็เลยจีบแบบถวายหัวกะว่าถ้าไม่ได้คนนี้จะ
ไม่รักใครแล้วจริงๆ
เธอก็ไม่อยากให้ความหวังอะไรพี่ต๊อกมาก
แต่พี่ต๊อกก็ตามตื้อ ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาเธอรู้สึกว่าช่วงนี้เหมือนได้ขึ้นสวรรค์
เพราะเธอได้เจอกับคนที่รักเธอจริงๆ และเธอก็รักพี่ต๊อกมากด้วย
(พวกเราแอบหัวเราะพี่ต๊อกนิดนึงตอนที่พี่ต๊อกเล่าว่าเธอก็รักพี่ต๊อกมากด้วย)

จนเขาคบกันมาได้ปีกว่าพี่ต๊อกคิดอยู่เหมือนกันว่าจะขอแต่งงาน
วันหนึ่งพี่ต๊อกมาเที่ยวเชียงใหม่มาพักหอของพี่คนหนึ่งในคณะ
แล้วก็ดูหนังโป๊กัน แล้วบังเอิญที่พี่ต๊อกพบหนังอย่างว่าของเธอ
พี่ต๊อกคิดว่าคงจะเป็นใครที่หน้าคล้ายๆ กันเฉยๆ
พี่ต๊อกขอยืมแผ่นหนังนี้ไปเปิดให้เธอดูบอกว่าคนๆ
นี้หน้าเหมือนเธอจังเนอะ
เธอร้องไห้ตั้งแต่เห็นแผ่นแล้ว ระบายเรื่องทั้งหมดให้พี่ต๊อกฟัง
พี่ต๊อกก็ฟังอย่างช็อกไป
เช้าวันรุ่งขึ้นพี่ต๊อกเก็บของกลับบ้านที่ตาก
ส่วนเธอเองก็เข้าใจดีและเก็บของเตรียมจะไปจีนแต่ขอให้เห็นหน้าพี่ต๊อกอีกครั้ง
พี่ต๊อกไป 3 วันกลับมา
เธอไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากไปซื้อข้าวหน้าปากซอย
พี่ต๊อกบอกเธอว่าเดี๋ยวไปเที่ยวบ้านเกิดเราหน่อยสิ

ตอนแรกเธอจะไม่ไป
อยากจะหนีไปจีนลูกเดียวแต่ก็ลงเอยที่เธอไปตากกับพี่ต๊อก
พี่ต๊อกพาเธอมาที่หลุมศพพ่อกับแม่พี่ต๊อก
พี่ต๊อกพูดต่อหน้าหลุมศพว่า
"ชีวิตผมขาดพ่อกับแม่ให้ความดูแลมาตั้งแต่เด็ก
แต่ผมก็ภูมิใจที่พ่อกับแม่ให้กำเนิดผมมา
ตรงหน้าพ่อกับแม่นี้มีผู้หญิงที่เธออาจจะไม่ใช่คนดีที่เลิศเลอที่สุด
แต่เธอก็คือผู้หญิงที่ผมรักที่สุด
ผมจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้นในที่ผ่านมา
ผมรู้แต่ว่าเขาเป็นคนให้กำเนิดหลานของพ่อกับแม่
และหลานของพ่อกับแม่จะเป็นคนดี ผมสัญญา"
ตอนที่พี่ต๊อกหันกลับไป เธอยืนน้ำตาซึมอยู่ข้างหลัง
(พวกผมเองยังน้ำตาซึมเลย)
เรื่องมันก็จบแค่ตรงนั้นตรงที่พี่ต๊อกกับเธอยืนกอดกันกลมต่อหน้าสุสานของพ่อกับแม่
ไม่อายผีอายสาง
แต่ผมว่าผีสางคงจะเขินอายและอวยพรให้เขาทั้งคู่อ่ะนะ
ชีวิตพี่ต๊อกเองที่ผ่านมาก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก
เคยเสพยาจนโดนตำรวจจับ
เคยตีกับตำรวจ

แต่ชีวิตเลวร้ายของทั้งคู่ก็ผ่านไปแล้ว
มันทำให้ผมเชื่ออยู่ถึงจนบัดนี้ว่าความรักมันทำให้เราเริ่มต้นใหม่ได้
สายๆ ของวันต่อมาเราพร้อมใจกันทำความสะอาดบ้านพี่ต๊อก
แล้วเราก็ได้เห็นรอยยิ้มของคนทั้งคู่
มันทำให้ผมอบอุ่นไปทั้งหัวใจเวลาที่เห็นใครสักคนได้ฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน
แล้วมาลงเอยด้วยกันอย่างมีความสุข

ผมขึ้นรถทีท้ายกระบะ
พวกเรานั่งมองพี่ต๊อกและเธอโบกมืออำลามาแต่ไกล
ข่าวดีคือเธอท้อง 4 เดือนแล้ว อีก 5 เดือนเราจะไปอุ้มหลานกัน
ข่าวร้ายคือพี่ต๊อกไม่มีตังค์แต่งงาน
แม้ว่าเราจะยื่นเงินก้อนให้กู้หรือให้เปล่าๆ เลยแกก็ไม่เอา
ผมคิดเรื่องของพี่ต๊อกมาตลอดทาง
ผมคิดว่าชีวิตเราก็เหมือนละครฉากหนึ่ง
พอถึงจุดหนึ่งละครมันก็จะจบไปแบบฉบับของมันเอง
คุณล่ะ....... ถ้าแฟนคุณเคยผ่านอะไรร้ายมาคุณจะซ้ำเติมเขา
หรือรักเขาให้สุดหัวใจของคุณ
ผมมีคำตอบของตัวผมแล้ว แต่ผมไม่บอกหรอก

"พ่อครับ ผมขอโทษ . . . "


หลังวาเลนไทน์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมือนคนทั่วไป

“กุหลาบ ช็อคโกแลต คำบอกรัก"

สามสิ่งนี้ต้องเวียนเข้ามาหาชีวิตผม

เพื่อให้คนคนหนึ่งใน ทุก ๆ ปีของวันนี้

. . . ก่อนวันที่ 14 กุมภาพันธ์

ผมเดินออกจากบ้าน

ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีชมพูที่ต้องการเอาให้แฟนของผม

เธอเป็นหญิงสวยมาก เป็นดาวคณะของมหาลัยของเรา

ก่อนผมจะออกไปพบเธอ เธอโทรมาหาผม

ผมจึงวางผ้าเช็ดหน้าที่ผมบรรจงพับไว้บนโต๊ะ

หลังจากการพร่ำบอกรักกันด้วยถ้อยคำหวานหูเป็นเวลานานทีเดียว

ผมปรี่ออกจากบ้านไปหาเธอ

โดยไม่ลืมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น

แต่แล้ว!!

ผมก็เห็นพ่อของผมถือมันออกมา ในผ้าผืนนั้นมีรอยเลือด

"พ่อ ทำอะไรหนะ" ผมโพล่งถามด้วยความโมโห

พ่อหน้าซีดทันที

"ไอ้เหมียวหนะ มันโดนกัด พ่อเลยเอาผ้าไปเช็ดเลือด"

"พ่อรู้ไหม ผมกำลังจะเอาไปให้แฟน"

พ่อเงียบ . . . ผมเกลียดจริงๆ เวลาพ่อเงียบเมื่อจนกับปัญหา

ความโหโหสั่งผมให้ทำได้แม้กระทั่งจะตบหน้าพ่อ

พ่อเบือนหน้า

"พ่อขอโทษ มานี่ . . . " พ่อยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้า

"พ่อจะเอาไปซักให้เอง"

ผมงอนพ่อถึงกับไม่ยอมคุยกับพ่อเป็นเวลานานพอควร

ไม่ยอมลงจากบ้าน

เป็นเวลาเกือบทั้งสองวันที่ผมไม่เจอหน้าใคร

หมกตัวอยู่กับห้อง มีเพียงแม่เท่านั้นที่คอยส่งข้าวให้ผม

ยามเมื่อผมมองตาแม่ครั้งใดทุกครั้ง ดวงตาแม่จะแดงปรี่ด้วยน้ำตา

ผมเริ่มรู้สึกว่า บางทีผมอาจจะทำเกินไป

. . . 14 กุมภาพันธ์

ตั้งแต่ครั้งที่ผมเห็นแม่เสียใจ

ผมก็รู้สึกว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

ผมยอมออกมาจากห้อง

ผมไม่เห็นพ่อ

เดินออกมาที่บริเวณลานซักผ้า กาละมังยังมีผ้าที่ยังไม่ซักหลายผืน

ข้างๆ มีกองเลือดอยู่ และที่ราวตากผ้ามี ผ้าเช็ดหน้าของผม

ถึงจะล้างรอยเลือดไม่หมด ก็ยังดีที่พ่อยังห่วงใยผม ยังแคร์ผมอยู่

"พ่อ ผมอยากขอโทษครับ"

พอผมหันหน้าจะกลับเข้าบ้าน ก็พบกับแม่ แม่ร้องไห้มาแต่ไกล

แม่วิ่งมากอดผม "พ่อเสียแล้วนะ"

ผมอึ้ง!!

แม่ลำดับเหตุการณ์ และทำให้ผมทราบว่า

พ่อป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจติดเชื้อ

รอยเลือดที่เห็นนั้นคือเลือดที่พ่อจามออกมา พ่อมองไม่เห็น

"พ่อกำชับแม่มาตอนที่ลูกโกรธว่า อย่าบอกลูกเด็ดขาดว่าพ่อป่วย "

"ทำไมล่ะครับ"

"พ่อกลัวเราจะเสียใจ แล้วไม่ได้ออกไปเที่ยวกับแฟน"

ผมอึ้งเป็นครั้งที่สอง!

"พ่อบอกแม่ด้วยว่า ถ้าพ่อเสียวันนี้ อย่าเพิ่งบอกลูก

ให้ลูกไปเที่ยวกับแฟนก่อน

พ่อไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์ พลาดโอกาสอย่างนี้เพราะพ่อคนเดียว

พ่อบอกด้วยว่าพ่อซักผ้าเช็ดหน้าให้แล้ว มันไม่สะอาดหรอก

แต่พ่อบอกว่าพ่อของลูกทำดีที่สุดแล้ว"

ผมกอดแม่ ร้องไห้

วันนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ที่อยู่ในความทรงจำตลอดไป

"พ่อครับ ผมขอโทษ . . . "

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เพื่อนกะแฟนมันแทนกันไม่ได้


***ข้อความนี้อาจจะมีคำหยาบขออภัยมาล่วงหน้าละกันนะ***

เพื่อนกับแฟน

อาหาร

เพื่อน: ข้าวราดแกง / ก๋วยเตี๋ยว ราคาไม่ เกิน 30 - กินไรแพงๆ วะ เปลืองชิบ

แฟน : อะไรก็ได้ที่มันไม่ใช่ ข้าว - สปาเกตตี้ เฟรนฟรายซ์ ซูชิ ชิสุ สั่งกันไป… มื้อละร้อยขึ้น



สถานที่

เพื่อน: สนามกีฬา สว่าง กว้าง สนุก

แฟน: โรงหนัง มืด แคบ นุ่ม...!?



ข้ามถนน

แฟน: ข้ามได้มั้ย ระวังนะครับ! จับมือผมไว้

เพื่อน: ………อ้าว! เชี่ยนี่… รอกูด้วย (แม่งข้ามไปนานละ)



ที่บ้าน

เพื่อน: มาเพื่อ ดื่ม เมา นินทาเพื่อน ด่าชาวบ้าน เฮฮาปาจิงโกะ

แฟน: มาเพื่อ ………………!?!


เวลาเดิน

แฟน: แนบชิด ประหนึ่งตัวดูดแบบสุญญากาศ

เพื่อน: เฮ้ย! ไปไกลๆกูหน่อยดิ ร้อนจะตายชัก!!



บนรถเมล์

แฟน: นั่งก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมยืนเอง

เพื่อน: เหยิบหน่อยดิวะ กูจะนั่งด้วย!



บนรถเมล์(2)

แฟน: 2 คนครับ (ยื่นเงินให้กระเป๋าฯ)

เพื่อน: เฮ้ย มึงมีป่าววะ ออกไปก่อนดิ กูมีแบงค์พัน



เงิน

แฟน: มีเสมอ..จ่ายไม่อั้น

เพื่อน: ไม่มีเสมอ... มึงออกไปก่อนละกัน เดี๋ยวกูให้(แร้วแม่งก็ชิ่ง)



มาสาย

แฟน: ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้

เพื่อน: ทำไรอยู่วะ มาโคตรช้าเลย สาด ...เลี้ยงข้าวกูเลย (จริงๆเพิ่งจะมาก่อนได้ 5 นาทีเหมือนกัน)



ช่วยทำธุระ

แฟน: ว่างเสมอ - อ๋อ ว่างครับ จะให้ไปถึงที่นั่นกี่โมงดี จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า

เพื่อน: ไม่เคยว่าง - ขนของย้ายห้องเหรอวะ ... เออ...ที่จริงก็ได้นะ แต่พอดี แม่กูให้ช่วยพาไปหาญาติๆ ฝ่ายแม่ว่ะ แล้วบ่ายๆ ต้องไปหาของฝ่ายพ่ออีก
คงไม่ว่างแล้วละ




กลับบ้านดึก

แฟน: เดี๋ยวผมนั่งรถไปส่งดีกว่านะ กลับคนเดียวอันตราย

เพื่อน: กลับยังไงวะมึง มีค่ารถป่าว

แต่กูไม่มีให้ยืมนะเว้ย



ป่วย

แฟน: เป็นไรมากมั้ย? กินยายังคับ ห่มผ้าด้วยนะ

เพื่อน: เป็นไรอีกวะ สำออยอะดิมึง… ออกมาให้ไวเลย แดกเหล้ากัน



เวลาอยู่ด้วยกัน

เพื่อน: เยี่ยว ขี้ ขากเสลด ซื้ดขี้มูก ตด - ห่านี่ อุบาทชิบหาย

แฟน: แต่งตัว โบ๊ะหน้า เสริมจมูก ดันนม ดึงเกงใน เช็คขนจ้ากแร้ - ตามบายๆ



สอนหนังสือ

แฟน: ไม่เข้าใจตรงไหนบอกนะครับ จะอธิบายให้ใหม่

เพื่อน: กูสอนมึง 3 รอบแล้วนะ แดกหญ้าแทนข้าวไงวะ



วาเลนไทน์

แฟน: ผมให้คุณได้ทุกอย่าง ยกเว้น ดาว เดือน และ ขนหน้าอก

เพื่อน: ……………(วันนี้มันไม่มีตัวตน)



โดนทิ้ง

แฟน: เราไปกันไม่ได้ / อย่ามายุ่งกับเรา / ไปไหนก็ไป รำคาญ

เพื่อน: ไม่เป็นไรเว้ย! ช่างแม่ง … มึงยังมีกูอยู่..........








เห็นมะว่ามันแทนกันไม่ได้จิงๆๆ....~
ที่มา : ฟ้าใส

เรื่องเล่า ซึ้งๆ “กาแฟ… ใส่เกลือ”


เรื่องเล่า ซึ้งๆ “กาแฟ… ใส่เกลือ”
เขาเจอเธอในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เธอดูโดดเด่นมาก และมีคนมากมายรุมล้อมเธอ ในขณะที่เขาดูเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีใครใส่ใจเขาเลย และหลังงานเลี้ยงเลิก เขาได้มีโอกาสชวนเธอไปทานกาแฟต่อ เธอประหลาดใจมาก แต่ท่าทีที่สุภาพของเขา ทำให้เธอตอบตกลง
พวกเขานั่งในร้านกาแฟดีๆแห่งหนึ่ง เขาดูประหม่าจนพูดอะไรไม่ออก เธอรู้สึกอึดอัดมาก จนคิดในใจว่า ได้โปรดให้ฉันกลับบ้านเหอะ แต่ทันใดนั้น….. เขาถามบ๋อยว่า ขอเกลือป่นได้ไหม อยากเอามาใส่ในกาแฟ ทุกคนในร้านหันมาจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ เขาอายจนต้องก้มหน้า แต่ก็ยังเติมเกลือลงในกาแฟ และก็ดื่มมันเสียด้วย
ทำให้เธอต้องถามเขาอย่างอดไม่ได้ว่า ทำไมชอบกาแฟรสชาติแบบนี้ เขาตอบว่า เมื่อเขายังเด็ก บ้านเกิดเขาอยู่ริมทะเล เขาเป็นลูกน้ำเค็ม เล่นกับทะเลทุกวัน เคยชินกับรสเค็มของเกลือ เหมือนกับรสชาติของกาแฟเค็ม เพราะฉะนั้นเมื่อทุกครั้งที่เขาได้ลิ้มรสกาแฟเค็มๆ เขาก็จะคิดถึงวัยเด็ก คิดถึงบ้านเกิด เขาคิดถึงพ่อแม่ทียังอยู่ที่นั่น
เธอก็เริ่มประทับใจในตัวเขา เริ่มชวนเขาคุย เล่าถึงบ้านเกิดของเธอบ้างชีวิตในวัยเด็ก ครอบครัวของเธอ เธอกับเขาคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ และจากการเริ่มต้นที่ดี ทำให้เขากับเธอคืบหน้าความสัมพันธ์ต่อไปจนทีสุด เธอก็ค้นพบว่า เขาคือผู้ชายแบบที่เธอต้องการอย่างแท้จริง เขาใจกว้าง อ่อนโยน อบอุ่น และดูแลเป็นอย่างดี เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอเกือบจะมองข้ามเขาไป!
หลังจากนั้นอีกสี่สิบปี เขาก็จากเธอไป ทิ้งจดหมายไว้ให้เธอฉบับหนึ่ง ข้างในมีใจความว่า ที่รัก อภัยให้ผมด้วย ที่ต้องโกหกคุณชั่วชีวิต มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมโกหกคุณ เรื่องกาแฟเค็มนั่นจำวันแรกที่เรามีนัดกันได้ไหม ผมประหม่ามากในตอนนั้น จริงๆแล้วผมต้องการน้ำตาลแต่ผมพูดผิดเป็นขอเกลือ ซึ่งมันยากที่จะกลับคำในตอนนั้น ผมจึงต้องปล่อยมันไป
ซึ่งผมไม่คิดว่า นั่นจะทำให้เราได้เริ่มต้นการพูดคุยกัน ผมพยายามที่จะสารภาพกับคุณหลายต่อหลายครั้งแต่ผมก็ไม่กล้าที่จะสารภาพออกไป ทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า จะไม่โกหกอะไรคุณอีกแม้แต่ครั้งเดียวตอนนี้ผมจากไปแล้ว ผมไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก ดังนั้นจึงเล่าความจริงในจดหมายฉบับนี้ แท้จริงแล้วผมไม่ได้ชอบทานกาแฟรสเค็มเลยแม้แต่น้อย มันรสชาติค่อนข้างแย่ทีเดียว แต่ว่าผมทานมันตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่ได้รู้จักคุณ ผมไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่ทำเพื่อคุณเลยการได้พบคุณเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดชีวิตของผม
ถ้าผมได้มีโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง ผมก็ยังอยากจะได้พบคุณ และมีคุณเป็นภรรยาผมอีกครั้งเช่นกันแม้ว่าผมจะต้องดื่มกาแฟรสเค็มอีกตลอดชีวิตก็ตาม!
น้ำตาของเธอหยด ใส่กระดาษจดหมาย จนเปียกชุ่ม และหลังจากนั้น หากมีใครถามเธอกาแฟรสเติมเกลือรสชาติเป็นเช่นไร เธอก็จะตอบเสมอว่า “มันหวาน”
ขอขอบคุณ สะกิด ดอท คอม

Story of "Mother" ..เมื่อฉันแก่ตัวลง


“เมื่อฉันแก่ตัวลง” อยากจะมอบเรื่องนี้ให้กับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลุกผู้ชายคนหนึ่ง ที่ตระเวนทั้งเรียนทั้งทำงานไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลง ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ได้แต่ติดต่อกันทางจดหมาย โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามาก จนกระทั่งปีนี้ แม่อายุ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่ โดยตั้งใจว่าจะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่... สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย พอกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย... แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม “เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย...” “พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง... ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย – โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ” “ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมือง ต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่องคนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน มีการปะทะกันด้วย แม่เป็นห่วงมาก ถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น” แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก วางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะผมไม่อยากนำกลับไป มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้ ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง ผมรู้สึกเอะใจ เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ” แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง” ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที บทความนั้นคัดมาจากนิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที .... เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนแรกๆที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆที่เธอรู้สึกเบื่อ ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ จนเธอหลับเลย ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะ ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดทั้งปลอบเพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม “ทำไม ทำไม”ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม ตอนฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่ ให้เวลาฉันคิดสักนิด ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน ฉันก็พอใจแล้ว ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ ขอให้เข้าใจฉัน สนับสนุนฉัน ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทาง ให้ความรักและอดทนต่อฉัน ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ ในรอยยิ้มของฉันมีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉันที่มีให้กับเธอ ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบ เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ (ใจแข็งจริง ไอ้หมอนี่) ตอนนั้น แม่เดินออกมา ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนแรกแม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไปแล้ว จึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป 1 ตัว จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้ รู้สึกแม่จะดีใจมาก เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภสำหรับผม และเหมือนกับว่าการที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ผมได้กลับมาเป็นเด็กดีของแม่อีกครั้งหนึ่ง แม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ “เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบ เอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป
ที่มา : เม็ดทรายใต้ฟ้า

อีกหน่อยเราก็ตายจากกัน..แล้วนะ


บางคนแอบรักเขาซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้นปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่นแต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวันทุกวัน ทุกวันบางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่งอนการกุศลประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้าและอีกหลายคนนิยมกิจกรรม "ฆ่าเวลา" ชีวิตมันว่างจัดขนาดต้องฆ่าเวลากันเลยบอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาลเอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมีอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน..แล้วนะลองคิดแบบนี้บ้าง ใช่แล้ว....เราจะเกิดความเสียดายเพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตายแต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่าเอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้วทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีกตามความฝันของเราไปสุดโต่ง...ต้องรีบแล้วเดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไงรักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมีส่วนจะรักหรือไม่รักกูไม่สนว้อย...เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ) ตายแล้วใช้เวลา (ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรานุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะอย่างน้อย ๆเราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล.......คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงานในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้นแม่เลยต้องมาแจกการ์ดเองเมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วันซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีดและทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอกว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน ....แล้วนะอ้าว....รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีกรีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำเดี๋ยวตายซะก่อน....เสียดายแย่
ที่มา : เจ้นวล เจ้าของบทความ : น้าเน๊ก

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไม่มีเวลาจริงหรือ


ไม่มีเวลาจริงหรือ

ชีวิตคนเราเมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว มันสั้นนัก มีเกิดและดับเป็นธรรมดาโลกแต่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ซิมนุษย์ผู้มีปัญญาจึงควรที่จะดำรงชีวิตอย่างชาญฉลาด
พระพุทธเจ้าเคยอบรมสั่งสอนมนุษย์ไว้ว่าทรัพย์สินที่พึงได้จากการประกอบกิจการงานต่าง ๆ นั้น ควรแบ่งออกเป็น 4 กองเท่าๆ กัน
กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสนกองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณกองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัวกองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค์ความดีงามให้แก่สังคม
แล้วการทำงานของมนุษย์ล่ะหลายคนยังมัววุ่นแก่การทำงานโดยไม่ยอมแบ่งเวลาเหลียวหลังมองถึงบุคคลที่รักและห่วงใยตนเองเลยหรือ???
มนุษย์บางคนทุ่มเวลาทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงาน พร้อมกับคิดว่าการกระทำดังนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วแต่นั่นคือการกระทำที่โง่เขลาเป็นที่สุด
ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับงานโดยไม่ยอมแบ่งปันเวลาให้แก่ผู้ใดแม้กระทั่งตัวเองเป็นมนุษย์ที่เขลาเบาปัญญาที่สุด บริหารไม่ได้แม้กระทั่งเวลา24 ชั่วโมงของตัวเองในแต่ละวันแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะบริหารอะไรได้
ทำไมมนุษย์ผู้ชาญฉลาดจึงไม่แบ่งปันเวลาให้เสมือนหนึ่งการแบ่งปันกองเงินตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าบ้างเล่า...
ไม่ต้องแบ่งเวลาให้เป็นสี่กองเท่า ๆ กันหรอกเพียงแต่แบ่งปันเวลาในแต่ละส่วนให้เหมาะสมเท่านั้น
8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคงในชีวิต8 ชั่วโมงสำหรับการพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงไว้ต่อสู้กับหน้าที่การงานและอุปสรรคในวันพรุ่งนี้5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่าง ๆ2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง59 นาที สำหรับดูแลและรักษาความสะอาดของที่อยู่อาศัย และช่วยเหลือสังคม
และ 1 นาทีของคุณที่มอบให้กับคนที่รักและห่วงใยคุณโดยไม่นำเวลาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเพียง 1 นาทีนี้ มันมีค่ามากเกินกว่าคณานับได้ในความรู้สึกของเขาคนนั้น
จงอย่ากล่าวว่า " ไม่มีเวลา... "เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในโลกนี้ที่มีให้แก่มนุษย์มนุษย์ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน ไม่มีใครมีเวลามากและไม่มีใครมีเวลาน้อยไปกว่านี้
24 ชั่วโมงใน 1 วัน ที่มหาเศรษฐี หรือยาจกมีเท่าเทียมกันไม่ขาดเกินแม้แต่เศษเสี้ยวของวินาที
ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผู้ใดที่กล่าวว่า " ไม่มีเวลา "จึงเป็นผู้ล้มเหลวในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวันของตนเองอย่างสิ้นเชิง และใช้คำว่า " ไม่มีเวลา "เป็นข้อแก้ตัวเพื่อปกปิด ความล้มเหลวเรื่องเวลาของตนเองอย่างขลาดเขลา
มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิตจึงไม่ใช่ผู้ที่เก่งแต่การทำงานอย่างเดียวแต่มนุษย์ผู้ฉลาดและประสบความสำเร็จในชีวิตต้องเป็นผู้ที่รู้จักแบ่งสัดส่วนเวลาวันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ได้อย่างลงตัว
วันละ 24 ชั่วโมงของตนเอง ที่มีไว้สำหรับการทำงาน การพักผ่อน การเดินทางมิตรภาพ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯโดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต
นี่แหละ คือมนุษย์ผู้ชาญฉลาดที่รู้จัก " ใช้เวลา "แล้ววันนี้..คุณจะยังอ้างเหตุผลว่า" ไม่มีเวลา " อีกหรือ?
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com

คาด(ไม่ได้ดัง)หวัง


ความคาดหวัง เป็นเรื่องของการคิดถึงว่าอนาคตจะออกมาเป็นเช่นไร หลายครั้งเราคิดมาก เป็นห่วงมากถึงอนาคตและส่วนใหญ่เป็นการคิดในทางลบ!!ถ้าจะคิดหรือคาดหวัง ขอให้เป็นการคาดหวังแบบบวก แน่ละมันอาจจะไม่เป็นดังใจหวัง!! แต่อย่างน้อย ขณะที่เรากำลังคิดถึงมันอยู่ ณเวลานี้ ถ้าคิดเรื่องดีๆ มันก็ช่วยให้เรามีความสุขได้...ความ ทุกข์ของเรา มาจาก” ความผิดหวัง” ที่เกิดมาจาก “ ความคาดหวัง ที่ไม่สามารถเป็นจริงได้( unrealistic)” ชีวิตให้เราไม่ได้ เราคาดหวังให้สามีเราเป็นสามีที่พิเศษกว่าสามีคนอื่น เราคาดหวังให้ลูกของเราเป็นเด็กที่พิเศษ กว่าเด็กอื่น เราคาดหวังว่าชีวิตเราต้องดีกว่าคนอื่น!!!เรา กดดันคนรอบข้าง ด้วยคำว่า “ควรจะ” (should) “ลูกควรจะขยันมากกว่านี้นะ” “คุณควรจะกลับบ้านเร็วกว่านี้ ” “ฉันควรจำต้องทำได้ดีกว่านี้”ฯลฯ ความคาดหวัง กลายเป็นกดดัน ยิ่งผลักดัน นอกจากเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ยังเป็นการเพิ่มความทุกข์ ให้ทั้งเขาและเราพุทธองค์ ตรัสว่า “สิ่งที่เราคาดหวังให้เป็น มันมักจะเป็นตรงกันข้าม ” ท่านจึงบอกว่า แทนที่เราจะคาดหวัง( expect) แต่ให้เรา มองลึกวิเคราะห์ ( inspect) ลงในปัญหา และดูว่าจริงๆ แล้วคนของเรา เป็นแบบไหน และเรามีอะไรอยู่ในมือของเราบ้างลูกเราชอบศิลปะ แต่เราให้เขาเป็นหมอ สามีเราก็เหมือนกับผู้ชายทั่วๆไป แต่เราหวังให้เขาเป็นสามีสมบูรณ์ แบบ ถ้าได้ วิเคราะห์ อย่างลึกซึ้ง( inspect ) เราจะนึกได้ว่า แทนที่เราจะ คาดหวัง(expect) เราควรจะเปลี่ยนมาเป็น นับถือ (respect) ยอมรับในความเป็นตัวตนของเขา ในแบบที่เขาเป็น!!!เมื่อไรที่คิดได้แบบนี้ ชีวิตเราจะทุกข์น้อยลง !! เพราะว่าเราอยู่กับความจริงของโลกและชีวิต ชีวิตที่แท้จริงก็คือ “ ไม่เป็นดั่งใจ “ พุทธเจ้าบอกว่า สิ่งที่เราคาดหวังได้ ก็คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย!! เราจะต้องเจอแน่นอน!!!นอกนั้นไม่แน่!!ยอมรับในสิ่งที่เรามี เราเป็น คือหัวใจของการมีความสุขในชีวิต..ไม่ใช่การที่มี ลูก ,สามี, ตัวเอง, เจ้านาย , ญาติพี่น้อง ฯลฯที่”สมบูรณ์แบบ” ต่อให้เราใช้เวลาทั้งชีวิต เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้แม้แต่ตัวเราเอง !!เพราะทุกคนเกิดมา ล้วนมีต้นทุน และ “กรรมเก่า” ติดตัวมา เราไม่ได้เริ่มต้นชีวิตจากศูนย์ และทุกคนมีต้นทุนไม่เท่ากัน มองดูซิ !! ทำไมบางคนเกิดมาเป็นอัจฉริยะ!! บางคนปัญญาอ่อน!! บางคนรวยล้นฟ้า!! บางคนยากจนเข็ญใจ....บางคนเกิดมา 5ขวบแต่งเพลงได้แล้ว!! คงไม่ใช่สิ่งที่เด็ก5ขวบ จะเรียนรู้วิธีแต่งเพลงได้ภายใน5ปีแรกของชีวิตหรอกนะ แต่มันคือ” ความสามารถเก่าที่ติดตัวเขามาต่างหาก!!”ขอให้เรามีความรักต่อกัน ไม่คาดหวัง(เกินไป) และยอมรับในแบบที่เขาเป็น ในศักยภาพที่เขามี .. และไม่ว่า อนาคต สิ่งที่เราคาดหวังจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะยินดีกับมันเสมอ...เพราะนี้แหละชีวิตของการเกิดเป็นคน...”ไม่ต้องดีที่สุด” แต่”ขอแค่เป็นสุข”ก็พอแล้ว
ที่มา : *_* NONGSAWNUY *_*

ชั่วครั้งและชั่วคราว


คนเราจะมีการสร้างความคุ้นเคยกับสิ่งต่าง ๆ ...และมีการสูญเสียความคุ้นเคย ในบางอย่างเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย...ซึ่งมันคือหลักฐานในการยืนยันว่าเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตเป็นแค่สิ่งชั่วคราว..สุดท้ายแล้ว...ไม่มีอะไรตั้งมั่นอยู่ได้อย่างถาวร...แต่ถึงแม้จะรู้ว่าโลกนี้ไม่มีสิ่งถาวรเรายังกลัวจะเสียบางความคุ้นเคยไปขณะเดียวกันมีบางความคุ้นเคย หล่นหายโดยไม่รู้ตัว...เนื่องจากเรายึดความคุ้นเคยแต่ละชนิด ด้วยการถือมั่นไม่เท่ากัน...แต่ละคนมีวิธีจัดการเรื่องชั่วคราวที่อยู่ในชีวิตได้ไม่เหมือนกันมีทั้งคนที่จัดการได้ดีและคนที่จัดการอะไรไม่ได้เลยบางเรื่อง (ชั่วคราว) ที่สูญหายไปทำให้คนเราพ่ายแพ้อย่างยาวนาน...มนุษย์ไม่ควรรู้สึกพ่ายแพ้ติดต่อกันนาน ๆ ...และการรูสึกแพ้นั้นเราจะรู้สึกเกินกว่าสถานการณ์จริงเสมอแพ้แค่ 3 ก็อาจรู้สึกว่าแพ้ถึง 10ชีวิตคือการเดินทางผ่านเรื่องชั่วคราวจำนวนมากและสุดท้ายชีวิตของเราแต่ละคนก็เป็นเรื่องชั่วคราว...ถ้าเราตระหนักให้รู้ชัด ๆ ว่ามันชั่วคราว..ความทุกข์ในใจก็จะลดน้อยลงทันตาเห็นแต่อย่างว่า...เราตระหนักกันไม่ได้...เพราะไม่ยอมเรียนรู้ถึงความชั่วคราวในชีวิตอย่างจริงจังแทบทุกวันเราจึงเอาเป็นเอาตายกับเรื่องต่าง ๆราวกับเรื่องเหล่านั้นคือความคงทนถาวรที่จะดำรงอยู่ตลอดไปที่บอกว่า "เอาเป็นเอาตาย" ไม่ได้เกินความเป็นจริงเลย...เด็ก ๆ เอาเป็นเอาตายกับการเรียนพิเศษ...ผู้ใหญ่เอาเป็นเอาตายกับการทำงาน...ผู้ชายเอาเป็นเอาตายกับความใคร่...ผู้หญิงเอาเป็นเอาตายกับความรัก...บางเวลารู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังเป็นอยู่ ในชีวิตคนเราล้วนเพ้อไปทั้งนั้น...ถ้าหยุดเพ้อลงบ้างก็ดี..การเกลียดใคร หรือรักใคร ก็เป็นการเพ้อ...ทั้งความรักและความเกลียดไม่ใช่สิ่งถาวร...มันเพิ่มขึ้น...ลดลง...สูญหายได้การเข้าไปยึดถือ และแบกเอาไว้ ทำให้ชีวิตมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น...อยู่อย่างเบา ๆ สบายตัวดีกว่า...โปรดสังเกตเวลาที่เราโกรธหรือเกลียดใครความไม่สบายใจ...ความขุ่นข้องใจ...ความหนักใจก็จะเกิดขึ้นในทันที...ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต(จั่นเจา)
ที่มา : *_* NONGSAWNUY *_*